19.9.13

โปรแกรมภาพยนตร์ Po-co Cine Postcolonial Cinema





ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) ร่วมกับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เชิญชม โปรแกรมภาพยนตร์ Po-Co Cine

ทุกวันอาทิตย์ระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2556 - 20 ตุลาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 12:30 น. เป็นต้นไป

ณ ห้องเรวัต พุทธินันท์ ชั้นใต้ดิน U2 หอสมุด ปรีดี พนมยงค์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โทรศัพท์ 0-2613-3529 หรือ 0-2613-3530

ชมฟรี!!! (โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดว่ามาชมภาพยนตร์ และกรุณาแต่งกายสุภาพ)


Po-co Cine

Postcolonial Cinema 

นำทีมถางพงอดีตแดนอาณานิคม โดย New Programmer รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค (คนละคนกับในรูปข้างล่าง)




ฟรานซ์ ฟานอน (1925 - 1961) นักจิตวิเคราะห์ผิวดำชาวมาร์ตีนิก (มาร์ตีนิกเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียนที่ปัจจุบันมีสถานะเป็น ‘จังหวัดโพ้นทะเลของฝรั่งเศส’) เล่าว่าตอนเขาอยู่ที่บ้านเกิด เขาไปดูหนังฮอลลีวู้ดเรื่องทาร์ซานในโรงหนัง ในหมู่คนดูผิวสีทั้งโรงทุกคนหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นทาร์ซานปราบเหล่าร้ายที่เป็นคนป่าผิวดำได้ ต่อมาเมื่อฟานอนเดินทางไปปารีสเพื่อศึกษาต่อ เขาได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่เขาจะสนุกกับหนังเหมือนเคย เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจ พอคนดูสว่นใหญ่ในโรงเป็นคนขาวพวกเขาก็พากันเอาใจช่วยทาร์ซานพระเอกผิวขาวกำจัดคนป่าผิวดำ ฟานอนในฐานะคนดำไม่กี่คนในโรงจึงรู้สึกอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึก ‘เห็นใจ’ คนผิวสีบนจอภาพยนตร์ เขานึกกลับมาถึงตัวเองว่าทำไมในการดูหนังครั้งแรกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย ทำไมเขาไม่รู้สึกว่าคนดำบนจอเป็นคนร่วมเชื้อชาติสีผิวกับเขา ทำไมเขาสามารถเข้าข้างคนขาวได้ง่ายดาย 

เรายังดูทาร์ซานแบบเดิมอย่างใสซื่อได้อีกไหม เรายังสนุกกับปรากฏการณ์บนจอโดยไม่อินังต่อกระบวนการกดขี่ภายในภาพได้หรือไม่ 




postcolonial studies คือการศึกษาอิทธิพลที่ตกค้างมาจากลัทธิอาณานิคมตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก อาณานิคมได้เปลี่ยนแปลงระบบความสัมพันธ์ สังคม ภาษา ลักษณะประชากรของโลกสมัยใหม่ไปอย่างถอนรากกระชากโคน และแม้เราจะไม่ได้อยู่ในยุคอาณานิคมแล้ว แต่สิ่งที่ตกค้างจากยุคสมัยนั้นยังทิ้งค้างไว้ให้เราได้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ postcolonial cinema ไม่จำกัดแต่หนังที่พูดถึงแต่อาณานิคมโดยตรง (แต่โดยแท้จริงแล้ว postcolonial cinema ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีนิยามแน่ชัดตายตัว) แต่ยังรวมไปถึงหนังที่สำรวจประเด็นอันหลากหลายตั้งแต่ผลกระทบของการอพยพประชากรโลกหนังของคนทำหนังโพ้นทะเล หนังพร็อบพาแกนด้าชาตินิยม หนังตลกภาษาถิ่น ฯลฯ หนังในโปรแกรมนี้เป็นการรวบรวมหนังที่หลากหลายทั้งในแง่เนื้อหาและประเทศที่มา เพื่อลองสำรวจความสลับซับซ้อนในโลกของเราทั้งในด้านวัฒนธรรม สังคม การเมือง ศิลปะ เพศสภาพ อัตลักษณ์ และอื่น ๆ ถ้าทาร์ซานที่ฟานอนได้ดูคือ colonial cinema ที่กดขี่ประชากรส่วนใหญ่ของโลกไว้ในคราบของความป่าเถื่อน postcolonial cinema คือหนังที่ท้วงถามและชี้แย้งกลับไปที่ทาร์ซาน โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว


Week 1
Colonial (Re)Encounter

And Then There Was Light (1989, Otar Iosseliani, Italy, France, West Germany)




ผลงานรางวัลสิงโตเงินเรื่องเยี่ยมของ Otar Iosseliani ผู้กำกับฝีมือเอกอุชาวจอร์เจียที่ปัจจุบันทำหนังอยู่ในฝรั่งเศส ในงานชิ้นนี้เขาได้พาคนดูไปยังสังคมชาวแอฟริกันในป่าที่ความเป็นสมัยใหม่ยังเข้าไม่ถึง หนังถ่ายทอดชีวิตประจำวันของชาวบ้านประดุจสารคดีที่เหนือจริง นั่นคือภาพกิจวัตรของชาวบ้านแม้จะอยู่ในไวยากรณ์แบบสารคดีแต่กิจกรรมของพวกเขาก็ชวนเหวอตกเก้าอี้มาก ๆ เช่นชายหนุ่มจะจีบผู้หญิงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ต้องนั่งจระเข้ข้ามแม่น้ำไปหา หรือคนหัวขาดก็สามารถเอาสมุนไพรมาบดทาที่รอยขาดแล้วติดหัวใหม่ได้ ฯลฯ ลีลาแบบ magical realism ของหนังสร้างรสที่แปร่งปร่าชวนตื่นตาตื่นใจกับความสัมพันธ์ทางสังคมแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

Even the Rain (2010, Icíar Bollaín , Spain, Mexico, France)




Iciar Bollain เป็นผู้กำกับหญิงชาวสเปนที่สร้างชื่อจากหนังน้ำดีหลายเรื่อง ใน Even the Rain เธอร่วมทัพกับ Paul Laverty มือเขียนบทประจำตัวเคน โลช (และจริง ๆ ก็เป็นสามีเธอเอง) รังสรรค์หนังวิพากษ์จักรวรรดิตะวันตกอันแสนคมคายจนได้เป็นตัวแทนสเปนเข้าชิงออสการ์ หนังเรื่องนี้ กาเอล การ์เซีย เบอร์นัลรับบท เซบาสเตียน ผู้กำกับหนังจากเม็กซิโกที่เดินทางกับทีมงานมาโบลิเวียเพื่อทำหนังว่าด้วยการค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส โดยตัวเซบาสเตียนหมายมั่นจะให้หนังเรื่องนี้เป็นบทโจมตีอาณานิคมของสเปนที่เข้ามาปล้นและกดขี่ชาวพื้นเมือง แต่โชคร้ายเสียหน่อยที่ตอนกองถ่ายเข้ามาในโบลิเวียมีการประท้วงเรื่องการขายสิทธิ์การจัดการน้ำในประเทศให้กับบริษัทเอกชนต่างชาติ ทำให้ประชาชนโบลิเวียไม่มีสิทธิ์จะดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำใต้ดิน ลำธาร "หรือแม้แต่น้ำฝน" แล้วเส้นแบ่งระหว่างเหตุการณ์ในหนังที่กำลังสร้างกับเรื่องจริงทางสังคมภายนอกก็ยิ่งพร่าเลือน นักแสดงอินเดียนที่มาแสดงเป็นคนพื้นเมืองในหนังก็ออกไปต่อสู้เพื่อสิทธิในการดื่มน้ำบนถนนจริง ๆ อีกด้วย บทหนังของลาเวอร์ตี้แหลมคมมาก ๆ ในการเชื่อมโยงการปล้นทองจากชนพื้นเมืองจากจักรวรรดิสเปนเข้ากับการปล้นน้ำของบรรษัทนานาชาติ

Week 2
Problem of Identities

Surname Viet Given Name Nam (1989, Trinh T. Minh-ha, Viet Nam-America)




สารคดีทดลองของผู้กำกับ-นักทฤษฎีชาวเวียดนามที่ไปโตในอเมริกา Trinh T. Minh-ha ในงานชิ้นนี้เธอตั้งโจทย์ที่ทั้งซับซ้อนและทะเยอทะยานมาก ๆ เธอพาเราไปรู้จักกับชีวิตผู้หญิงเวียดนามที่ใช้ชีวิตในช่วงสงครามเวียดนามผ่านบทสัมภาษณ์ของแต่ละนาง แม้จะฟังดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วตัวหนังเล่นกับการรับรู้ของคนดูหลายระดับมาก ๆ ตั้งแต่การที่ผู้หญิงกลุ่มนี้พูดอังกฤษได้ไม่ชัดนักทำให้คนดูทั่วไปมีปัญหาในการติดตามเรื่องราวที่พวกเธอเล่า แต่พอหนังผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมงเหมือนหนังจะรู้ตัวก็เลยใส่ซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษข้างใต้ไว้ให้เราอ่านได้ง่าย ๆ แต่จู่ ๆ เสียงของผู้กำกับก็ดังขึ้นมาถามว่า ‘คุณรับรู้บทสัมภาษณ์ของผู้หญิงพวกนี้ผ่านหู (ฟังเสียงของพวกเธอโดยตรง) หรือคุณใช้ตา (ต้องพึ่งพาตัวหนังสือที่หนังเขียนให้)’ ถ้าคุณต้องใช้ตาอ่านซับ ฯ แสดงว่าคุณเชื่อใจซับ ฯ ใช่ไหม แปลว่าคุณไว้ใจความจริงในตัวหนังสือที่คุณคุ้นเคย มากกว่าเสียงที่แปลกแปร่งติดสำเนียงของผู้หญิงประเทศโลกที่สามเหล่านี้ใช่ไหม สารคดีเรื่องนี้เลยเป็นมากกว่าแค่บทบันทึกชีวิตของผู้หญิงเวียดนามแต่เป็นบทบันทึกที่ย้อนถามการบันทึกของตัวมันเองด้วย


Lamerica (1994, Gianni Amelio, Italy, France, Switzerland)




Gianni Amelio เป็นผู้กำกับอิตาลีมือดีที่โด่งดังในยุค 90 Lamerica หนังเจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวนิสได้รับการกล่าวขานจากนักวิจารณ์หลาย ๆ คนว่านี่อาจเป็นงานที่ดีที่สุดของเขา Lamerica ไปสำรวจผลตกค้างของจักรวรรดิตะวันตกที่คนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ นั่นคือจักรวรรดิของอิตาลี อิตาลีเป็นชาติยุโรปที่เริ่มล่าอาณานิคมช้ากว่าชาติอื่น ๆ มาก และอัลบาเนียก็เป็นพื้นที่ไม่กี่ที่ที่เคยตกเป็นของอิตาลี หนังเกิดขึ้นในยุคร่วมสมัย 2 กระทาชายแก๊งค์ต้มตุ๋นชาวอิตาเลี่ยนที่ต้องการจะเข้าไปเปิดบริษัทปลอมในอัลบาเนียเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากรัฐแล้วค่อยเชิดเงินหายไป แต่เงื่อนไขที่เขาจะได้เงินนั้นบริษัทจะต้องมีคนอัลบาเนียมาเป็นเจ้าของด้วย ทั้งสองคนเลยไป ‘แคสต์’ เจ้าของบริษัทจากในคุก จนได้เจอกับ ‘สไปโร’ ตาแก่ชราภาพนายหนึ่งที่สติไม่ค่อยเหลือความจำหลง ๆ ลืม ๆ น่าจะง่ายต่อการใช้เป็นหุ่นเชิดได้ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ความทรงจำของสไปโรค่อยผลุบโผล่เข้ามา อันเป็นความทรงจำในสมัยสงครามโลกและยุคอาณานิคมอิตาลีในอัลบาเนีย ความทรงจำที่ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงตัวตนของนักต้มตุ๋น ทำให้เขาต้องมาถามตัวเองว่าฉันเป็นใคร?

Week 3
Other Aesthetics: Nollywood and Brazilian Garbage

The Figurine - Araromire (2009, Kunle Afolayan, Nigeria)




ปัจจุบันไนจีเรียติด 3 อันดับแรกของประเทศที่มีการผลิตหนังเยอะที่สุดในโลกไปแล้ว (เป็นรองแค่อเมริกาและอินเดีย) วงการหนังวิดีโอหรือที่เรียกกันว่า Nollywood เป็นเหมือนต้นธารใหญ่ของวงการหนังประเทศแอฟริกาที่ใช้ภาษาอังกฤษ (โดยมี Ghallywood จากกาน่ากำลังเข้ามาแชร์พื้นที่) หนัง Nollywood แตกต่างจากหนังประเทศแอฟริกาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสที่เริ่มทำหนังตั้งแต่ยุค 60 ในขณะที่คนทำหนังจากประเทศพูดฝรั่งเศสมักหยิบยกปัญหาสังคม ความยากจน การเหยียดผิว ฯลฯ ที่เกิดขึ้นมาทำเป็นประเด็นหลักด้วยความเชื่อประหนึ่งหนังคือเครื่องมืออาวุธทางวัฒนธรรมและสังคม หนัง Nollywood กลับเพลิดเพลินไปกับชีวิตประจำวันของตัวละครในลากอส มีความเพ้อเจ้อแฟนตาซีไปบ้างตามประสา หนังกลายเป็นมหรสพหรรษาที่ทำให้คนดูหัวเราะ ร้องไห้ ไปพร้อมกัน

The Figurine ได้รับรางวัลจาก African Movie Academy Awards ไป 5 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย เนื้อเรื่องของหนังว่าด้วยเพื่อนซี 2 คนที่เดินทางไปในป่าเจอกับรูปปั้นเทพธิดา Araromire ที่จะมอบ 7 ปีแห่งความสุขโชคลาภให้กับทุกคนที่ได้สัมผัส แต่พอหมด 7 ปีแห่งโชคลาภ คนจับก็ต้องเจอกับ 7 ปีแห่งทุกข์ที่จะพรากความดีทุกอย่างจากชีวิตไป พอเพื่อนทั้ง 2 คนกลับเมืองต่างฝ่ายต่างก็ร่ำรวย มีงานการที่ดี ได้แต่งงาน พอ 7 ปีผ่านไปพวกเขามาเจอกันจู่ ๆ ชีวิตก็เหมือนหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศ ชีวิตเริ่มแย่ขึ้น ๆ นี่มันเพราะคำสาปใช่ไหม หรืออะไร? ก่อนที่หนังจะจบอย่างหักมุมที่สุด!!!!!!!

Bang Bang (1971, Andrea Tonacci, Brazil)




ที่บราซิลสมัยยุค 60 Glauber Rocha ได้เป็นหัวหอกของกลุ่มภาพยนตร์คลื่นลูกใหม่ Cinema Novo ที่ต้องการใช้สื่อภาพยนตรเป็นพื้นที่ในการเรียกร้องความยุติธรรมของสังคม ได้บัญญัติสิ่งที่เรียกว่า ‘สุนทรียะแห่งความหิวโหย’ ด้วยเชื่อว่าหนังที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมต้องไม่เพียงแปลกใหม่ทางเนื้อหาเท่านั้น แต่ต้องค้นหาภาษาไวยากรณ์หนังแบบใหม่ ๆ โดยไม่ต้องไปอินังว่าหนังที่ได้จะมีคุณภาพดีงามได้ตามมาตรฐานหนังทั่วไปไหม (อันหมายถึงหนังฮอลลีวู้ด) แต่พอเวลาผ่านไปถึงยุค 70 Esthetics of Hunger กลายเป็นของล้าสมัยที่เสื่อมความนิยม คนทำหนังบราซิลอีกกลุ่มนำทีมโดยคนทำหนังอย่าง Rogerio Sganzerla และ Julio Bressane ได้เสนอ ‘สนุทรียะแห่งขยะ’ ออกมา หนังในกลุ่มนี้ไม่ได้แคร์ปัญหาสังคมอีกต่อไป แต่เล่นสนุกกับการทดลองความตื่นตาตื่นใจทางภาพยนตร์เพื่อให้คนดู enjoy ก็พอ


Bang, Bang งานสำคัญชิ้นหนึ่งของกลุ่มที่ผู้ชมไม่ต้องแคร์เนื้อเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้ว หนังเด็ดดวงด้วยความแพรวพราวของภาษาหนัง ทั้งลูกเล่นงานถ่ายภาพที่วิจิตรพิศวงพงไพร การตัดต่อที่พิสดารล้านลึก และดนตรีที่สร้างจังหวะชวนขยับหรรษา หนังมีฉากโจร ฉากขับรถไล่ล่าแสนพิสดาร แต่ดูอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องจนตัวละครในหนังเองก็ทนไม่ได้ที่หนังไม่รู้เรื่องถึงกับขอ pause แล้วมานั่งเล่าเรื่องซ้ำใหม่ให้คนดูฟัง แต่ก็ถูกตัวละครอีกตัวขัดจังหวะไม่ให้เล่าด้วยการปาพายใส่หน้า!?

Week 4
My Father and His Fatherland

Congorama (2006, Philippe Falardeau, Canada-Belgium)





แคว้นควิเบกในแคนาดาเป็นแคว้นที่ประชากรใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก แม้ว่าแคนาดาจะมีภาษาราชการ 2 ภาษาทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ชาวควิเบกก็มีความรู้สึกแปลกแยกจากส่วนอื่นของประเทศอยู่ดี Philippe Falardeau ผู้กำกับชาวควิเบกรุ่นใหม่มาแรงนิยมทำหนังที่สำรวจสังคมควิเบกมาอย่างต่อเนื่อง Congorama หนังชนะรางวัล Jutra สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เข้าไปสำรวจความสัมพันธ์อีรุงตุงนังยุ่งขิงของชีวิตตัวละครหลายตัว หลายชาติ ทั้งแคนาดา เบลเยี่ยม และคองโก! 

หนังเปิดเรื่องที่เบลเยี่ยม มิเชล นักประดิษฐ์ชาวเบลเยี่ยมที่ล้มเหลวในการคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เขามีพ่อเป็นนักต่อต้านอาณานิคมคองโกเก่าที่ปัจจุบันเป็นนักเขียนชื่อดังของเบลเยี่ยมในแคว้นเวโลเนีย (แคว้นที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส) ตัวมิเชลเองมีเมียเป็นคนคองโก และทั้งคู่มีลูกชายที่ดูจากกายภาพแล้วดูจะรับมาแต่แม่ เพราะดูไม่มีเชื้อคนขาวเลย วันนึงลูกชายมิเชลถามมิเชลว่า 'พ่อ ผมได้อะไรมาจากพ่อบ้าง' มิเชลก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรเหมือนกับลูกบ้าง เขาก็บอกว่าลูกวาดรูปเก่งเหมือนพ่อ อีกอย่างพ่อกับปู่หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน แต่เราก็เป็นพ่อลูกกันได้ แต่แล้วคืนนั้นพ่อของมิเชลก็เรียกมิเชลไปเซอร์ไพรส์ว่า 'มิเชลเอย ลูกเป็นลูกบุญธรรมนะ พ่อกับแม่แอบรับลูกอย่างผิดกฎหมายมาจากโบสถ์ในควิเบก' มิเชลเลยยิ่งงงไปใหญ่ว่าอ้าว จริง ๆ ฉันเป็นใครมาจากไหน วันนึงเขาต้องไปแคนาดาเพื่อขายงานลูกค้า เขาเลยใช้เวลาที่เหลือตามหาว่ารากเหง้าเขามาจากไหน?

A Borrowed Life (1994, Wu Nien-jen, Taiwan)


หนังเรื่องเยี่ยมในกลุ่มไต้หวันนิวเวฟ Wu Nien-jen ผู้กำกับที่แม้จะทำหนังเองไม่เยอะ แต่เขาเป็นมือเขียนบทที่พิสูจน์ฝีมือไว้ในหนังของโหวเสี่ยวเสี่ยน เอ็ดเวิร์ด หยาง แอนน์ ฮุย A Borrowed Life เป็นงานกำกับเองเรื่องแรกของเขาเป็นเหมือนงานกึ่งอัตชีวประวัติว่าด้วยสัมพันธ์ของเขาและพ่อ ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก ๆ พ่อยังเป็นคนหนุ่ม จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่แต่งงานมีครอบครัวแล้วพ่อของเขาก็ป่วยชรา 

หนังสำรวจความต่างกันของวัย ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กที่เกิดในยุคก๊กมิ๋นตั้งปกครองไต้หวันอยู่ ส่วนพ่อของเขาเป็นคนที่โตมาในรุ่นที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น พ่อและผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในรุ่นเดียวกัน ต่างเป็นคนที่ชื่นชมชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากมาย พวกเขาพูดภาษาญี่ปุ่น ดูหนังญี่ปุ่น นิยมสินค้าญี่ปุ่น แม้พวกเขาจะไม่เคยได้ไปเห็น‘แผ่นดินพ่อ’ เองจริง ๆ เลย และอาการนิยมญี่ปุ่นนี่เองนำมาซึ่งความขัดแย้งกับคนรุ่นลูกที่โตมากับการศึกษาด้วยภาษาจีนกลาง (ที่คนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ) และการเรียนประวัติศาสตร์ว่าญี่ปุ่นเป็นตัวร้าย หนังสำรวจอัตลักษณ์ความเป็นไต้หวันอันเปราะบาง เมื่อพิจารณาว่าไต้หวันเป็นเกาะที่เหมือนถูกเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปตามยุคสมัย (ตั้งแต่สมัยมีชนพื้นเมือง จนคนจีนฮั่นเข้ามาอาศัย ก่อนโดนโปรตุเกส สเปน ดัทช์เข้ามาปกครอง และเปลี่ยนมือไปเป็นราชวงศ์ฉิงในแผ่นดินใหญ่ ก่อนมาเป็นญี่ปุ่น และไปเป็นของก๊กมิ่นตั้ง) แล้วอะไรคือสิ่งที่เหลืออยู่ คนไต้หวันจริง ๆ คือใครกัน

8.8.13

เรื่องสั้นเล่มใหม่จากบุ๊คไวรัส bookvirus 10 ศรีนวลจัดหนัก (Destroy, She Said)

bookvirus 10 "ศรีนวลจัดหนัก"   : รวมเรื่องสั้นสตรีเล่า 16 เรื่อง / จำนวน 288 หน้า

(หลายคนร่วมแปล)






"ศรีนวล" ก็คือการรวมเรื่องสั้นดาวเด่นจาก bookvirus 2 เล่มก่อน คือ bookvirus 05 "นางเพลิง" และ bookvirus 07 "นารีนิยาม"



ร่วมด้วยนักเขียนคัดสรรจากนานาชาติ:
ฉาน เสว่

ฮิโรมิ คาวาคามิ


อันนา คาวาน


มิรานด้า จูลาย


โกลี ทารากี


โจ คียุง รัน


(ดึงเรื่อง "จบให้สวย" ของ มาร์กาเร็ต แอ็ดวู้ด ที่ แดนอรัญ แสงทอง เคยแปล ใน "นารีนิยาม" ออกไป)



ร่วมด้วยนักเขียนกลุ่มใหม่อย่าง
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ

แองเจล่า คาร์เตอร์ (แปลโดย แดนอรัญ แสงทอง)


เอลซ่า โมรานเต้


มิเอโกะ คาไน



แคธเธอรีน แอน พอร์เตอร์

เอเวียงตี อาร์มันด์ 

และ โรซาเรีย ชัมปาญ


นำทีมแปลด้วย

แดนอรัญ แสงทอง (เงาสีขาว / อสรพิษ)

ภัควดี วีระภาสพงษ์ (สมัญญาแห่งกุหลาบ / ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต)


สุชาติ สวัสดิ์ศรี (สิงห์สนามหลวง / ช่อการะเกด)


นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ (เพลงรัตติกาลในอินเดีย, คำยืนยันของเปเรย์ร่า)


มัทนา จาตุรแสงไพโรจน์ (ความไม่เรียบของความรัก)


วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา (ยูโทเปียชำรุด)


นราวัลลภ์ ปฐมวัฒน (Kyo ห้องสมุด The Reading Room)


ไกรวุฒิ จุลพงศธร (bioscope)


ธิติยา ชีรานนท์ (สารานุกรมผู้ตาย / กาจับโลง bookvirus 03)


ดิษพล ศิวะรัตนธำรงค์


ปพิชญา รัตนะมณี


ชลเทพ ณ บางช้าง


วรันทร ฉะพงษ์ภพ


และ สนธยา ทรัพย์เย็น 






ตีพิมพ์จำนวนจำกัด ราคาปก 275 บาท (สั่งซื้อก่อน 15 สิงหาคม 2556 ราคา 250 บาท)

สั่งซื้อได้ที่ Facebook: bookvirus & filmvirus
https://www.facebook.com/pages/bookvirus-filmvirus/125068220871488?fref=ts


หนังสือตีพิมพ์จำนวนจำกัด ขณะนี้ยังไม่มีวางขายตามร้าน

โปรแกรมหนังฟิล์มไวรัส โรคแห่งมาร์เกอริต ดูราส Malady of Marguerite


เพื่อต้อนรับการมาถึงของ BOOKVIRUS 10 "ศรีนวลจัดหนัก" (Destroy, She Said) รวมเรื่องสั้นสตรีเล่า หนังสือเล่มล่าสุดของ BOOKVIRUS เราขอร่วมสมโภชน์สตรีด้วยโปรแกรมพิเศษ รวมผลงานภาพยนตร์จากผู้กำกับหญิงที่เป็นเสมือนมารดาทูนหัวของเราชาว FILMVIRUS เจ้าของผลงานภาพยนตร์และวรรณกรรมที่งดงาม และทรงพลัง เสด็จแม่ มาร์เกอริต ดูราส (Marguerite Duras / โรคแห่งความตาย, เขื่อนกั้นแปซิฟิก, แรกรัก-คนรักจากโคลอง) ซึ่งถึงแม้เราจะไม่ได้บรรจุเรื่องสั้นของเธอลงในหนังสือเราก็ขอคารวะเธอผ่านโปรแกรมสุดพิศวงนี้ 




ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) ร่วมกับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เชิญชม โปรแกรมภาพยนตร์ MALADY OF MARGUERITE

ทุกวันอาทิตย์ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2556 - 22 กันยายน 2556 ตั้งแต่เวลา 12:30 น. เป็นต้นไป

ณ ห้องเรวัต พุทธินันท์ ชั้นใต้ดิน U2 หอสมุด ปรีดี พนมยงค์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โทรศัพท์ 0-2613-3529 หรือ 0-2613-3530

ชมฟรี!!! (โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดว่ามาชมภาพยนตร์ และกรุณาแต่งกายสุภาพ)




1/9/13

12.30 DESTROY, SHE SAID (1969)
14.30 NATHALIE GRANGER (1972)




(ภาพจาก Nathalie Granger)


8/9/13
12.30 INDIA SONG (1975)
14.30 THE CULCUTTA DESERT(1976)

15/9/13
12.30 BAXTER VERA BAXTER (1977)
14.30 LE CAMION (1977)

22/9/13
12.30 LE NAVIRE NIGHT (1979)
14.30 AGATHA ET LES LECTURES ILLIMITEES (1981)



‘อาจจะ บางที เป็นไปได้ว่า แต่ก็อาจจะไม่’ คำเหล่านี้อาจจะเป็นคำที่เหมาะเจาะเมื่อคุณจำเป็นจะต้องอธิบาย สิ่งที่เกิดขึ้น และเจือจางไปต่อหน้าจอของคุณในภาพยนต์ของ Marguerite Duras ราวกับมีบ้านสักหลังที่คุณมองไม่เห็นบ้านทั้งหลัง หรือห้องที่คุณเห็นเพียงบางส่วน ต่อให้ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างโรงแรม หรือวิลล่าสวยๆ คุณก็จะจินตนาการไม่ออกว่าสถานที่นั้นคือที่ใด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตัวละครที่คุณเห็นดูราวกับจะเป็นภูติผีมากกว่ามนุษย์ ภูติผีซึ่งล่องลอยอยู่บนจอท่ามกลางเสียงเล่าที่ไม่นำพาเราไปสู่สิ่งใด เมื่อใครทำอะไร เรามักจะไม่เห็นว่าเขาหรือเธอทำ เราอนุมานเอา และอย่างไม่อาจรับทราบถึงแรงจูงใจใดๆ พวกเขาอาจจะตายมาแล้วสองร้อยปี หรือไม่ได้มีอยู่ อาจจะทำหรือไม่ได้ทำ รักหรือไม่ได้รัก หรือบางทีอาจจะเป็นแค่ภาพเรืองแสงคล้ายมนุษย์เท่านั้นเอง 






เธอเป็นทั้งนักเขียนนิยาย บทละคร ผู้กำกับหนัง และเป็นนักคิดคนสำคัญที่ไม่เคยเข้าพวกกลุ่มใด งานวรรณกรรมของเธอนั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ทั้งในแง่ของความงดงามทางภาษา และเสียงเล่าที่ทรงพลัง ไม่ปะติดปะต่อ ผุดพรายประหนึ่งก้วงความทรงจำที่เลือนเอาทั้งเหตุการณ์ สถานที่ และ เวลาเข้าหากัน 


หากในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ชื่อของ Marguerite Duras มักถูกจดจำในฐานะคนทำหนังที่เต็มไปด้วยการทดลองอันหาญกล้า หนังของ Duras พร่าเลือนเสียยิ่งกว่าวรรณกรรมของเธอ คนดูครึ่งหนึ่งชื่นชมบูชาเธอในฐานะคนทำหนังที่ก้าวไปสู่ขอบเขตใหม่ๆของภาพยนตร์อย่างไม่ปะนีประนอม ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งสาปส่งหนังของเธอ ว่ามันช่างน่าเบื่อ ไม่มีใครทำอะไรในหนัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่คนนั่งอ่านหนังสือ โธ่เอ๋ย!











ตัวละครหลักที่เป็นสตรี เสียงเล่าที่ซับ
ซ้อน แตกกระสานซ่านเซ็นออกจากตัวภาพในระดับที่ไม่อาจประสานกันได้แต่ก็ไม่อาจดำรงคงอยู่เพื่อให้มีความหมายอย่างสมบูรณ์ในตัวมันเองได้เช่นกัน หรือเรื่องเล่าของความรักที่ไม่อาจครอบครองซึ่งเป็นประหนึ่งภาพสะท้อนสองระดับ ทั้งต่อตัวละครที่กัดกินลึกซึ้งลงในความรู้สึกสะเทือนไหว ไร้ความจีรังยังยืน ราวกับเมื่อเริ่มตกหลุมรักความรักก็กำลังตายลง และในอีกทางหนึ่งความรักที่ไม่อาจเติมเต็มนี้็สะท้อนความเจ็บปวดต่อโลกในอีกระดับด้วยเช่นกัน 




1/9/13
12.30 DESTROY, SHE SAID (1969) 
14.30 NATHALIE GRANGER (1972)

8/9/13
12.30 INDIA SONG (1975)
14.30 THE CULCUTTA DESERT(1976)





15/9/13
12.30 BAXTER VERA BAXTER (1977) 
14.30 LE CAMION(1977)




22/9/13
12.30 LE NAVIRE NIGHT (1979) 
14.30 AGATHA ET LES LECTURES ILLIMITEES (1981) 


DESTROY, SHE SAID (1969) 





พวกเขาอยู่โรงแรมแห่งหนึ่ง Max Thor เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาพบกับ Stien คนยิวเยอรมันที่อยู่ในโรงแรม นั่งคุยกันใต้ร่มไม้ Max รอเมียที่เดินทางไปเยี่ยมพ่อแม่เป็นเวลาสิบวัน และจะมาสมทบที่โรงแรม Stein มารอพบคนรักเก่า ท่ามกลางคนรักมากมายของเขา เขาพบเธอครั้งเดียวแล้วจากกันตลอดกาล พบกันที่นี่ เขาเลยมารอเธอที่นี่ ยังมีผู้หญิงอีกคน ที่นอนหลับอาบแดดอยู่ในสวนเกือบจะตลอดเวลา เธออ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกือบจะตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยอ่านจบเลยสักทีตลอดเวลา Alisa ภรรยาของ Max ตามมาสมทบ เธอเป็นคนรักเก่าของ Stein ด้วย พวกเขาพูดคุยกันในสวนของโรงแรม เล่นไพ่กัน นอนบนโถงห้อง หากพวกเขาทั้งสามต่างสนใจ Elizabeth เธอเพิ่งฟิ้นไข้จากการแท้งลูก อาจจะไม่ได้รักลูกสาวของตัว และสามีของเธอก็เอาจจะเป็นพวกจอมเจ้าชู้อะไรแบบนั้น เรื่องในโรงแรมเดินไปอย่างสะเปะสะจับต้นชนปลายไม่ได้ พวกเขากลัวป่าที่ห้อมล้อมโรงแรม ส่วนตัวโรงแรมนั้นบอกว่ามีวิวสวยที่หาเท่าไรก็ไม่พบ มีแต่สวน ห้องว่างๆที่หน้าต่างเปิดโล่ง และมีเสียงการตีเทนนิสที่ไม่เคยเห็นผู้เล่น ราวกับตัวละครเรื่องเรืองขึ้นจากความมืด ไม่หรอก พวกเขาไม่ได้จมอยู่ในแสงที่เล็กน้อย หรือควานหากันในความมืดอะไรแบบนั้น พวกเขาแค่เรื่อเรือง สลัวลาง ตัวตนของพวกเขาแผ่วจางเหมือนภูติผี 

นี่คือภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ Duras ที่สร้างขึ้นจากนิยายของเธอ 




NATHALIE GRANGER (1972)




ในบ้านหลังหนึ่ง นี้คือช่วงเวลายามบ่าย วันที่อากาศหนาวอยู่สักเล็กน้อย สรรพสิ่งสงบอ้อยสร้อยอยู่ในโมงยามที่ราวกับหยุดนิ่ง เสียงวิทยุแผ่วข่าวที่ผู้ฟังเพียงเปิดทิ้งอย่างใจลอย หวนให้ได้ยินเพียงเสียงเปียโน โน๊ตสำหรับเด็กๆหัดเล่นของลูกสาวที่เหมือนตกค้างในอากาศแล้วเพิ่งปรากฏกาย หญิงสาวนั่งนิ่งจ้องมองผ่านหน้าต่างไปยังสวน หญิงสาวเดินเชื่องช้าในสวนนั้น หญิงสาวรีดผ้าช้าเชื่องและหยุดเสียกลางคัน หญิงสาวและหญิงสาวผิงไฟจากเศษกิ่งไม้เกลื่อนสวนที่เธอมากองรวมกันและจุดไฟเผา จังหวะเนิบช้าและเงียบเชียบแมวหง่าวสีดำที่ง่วงหาวตรงกรอบหน้าต่าง ยามบ่ายสมบูรณ์แบบเหมือนภาพเขียนสักภาพ หากคือยามบ่ายอันอวลกระอายของกลิ่นแห่งความพิพักพิพ่วน ความอ่อนไหวที่ปริ่มจะระเบิดออกในยามบ่ายอันสงบ จนกระทั่งเซลล์แมนขายเครื่องซักผ้านายหนึ่งโผล่เข้ามาในฉากของหญิงสาวกับหญิงสาว พกพาความกระอักกระอ่วนผิดที่ผิดทาง ทะลึ่งพรวดสู่ฉากภาพอันสมบูรณ์ ก่อนจะล่าถอยไป กลางความเงียบอันอ่อนไหว หญิงสาวและหญิงสาว ยามบ่ายอันลึกลับ อันอ่อนไหว อันสงบเงียบ อันสะเทือนไหว ยามบ่าย นี้เป็นเพียงช่วงเวลายามบ่า


INDIA SONG (1975)





นี้คือชีวิตอันว่างเปล่าของผู้คนในสถานกงสุลในอินเดีย ชีวิตของผู้คนหรืออาจจะภูติผีซึ่งไม่ปริปาก เพียงเดิน ยืน นอน มอง เต้นรำ ในดินแดนประหลาดปลายขอบโลก ตลอดทั้งเรื่องบรรดาตัวละครในสถานทูตทำเพียงแค่เดินไปเดินมา เต้นรำ สูบบุหรี่ นอนบนพื้น ในขณะที่ตลอดเวลาจะมีเสียงบรรยาย บ้างเป็นบทสนทนา บ้างเล่าถึงอนาคตของบางตัวละคร บ้างประชดเสียดสีตัวละคร บ้างเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง บ้างเป็นเสียงของผู้ที่ไม่อยู่ในฉาก และ แทรกสอดด้วยเสียงคร่ำครวญของหญิงสาวชาวลาวที่ร้องเพลงและร้องขอข้าวกิน ไม่ว่าเสียงใดที่เราได้ยินไม่ได้ออกจากปากตัวละครโดยตรงเลยสักคน พวกเขาหุบปากสนิทโดยตลอดทั้งเรื่อง มีแต่เสียงเท่านั้นที่ล่องลอยฟุ้งกระจาย




ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของภาพ และเสียง อันไม่สัมพันธ์ หนังกลับตอกตรึงสายตาผู้ดูด้วยภาพอันทรงพลัง อาคารเก่าแก่ปิดตาย สนามที่ปูนแตกกร่อน สนามเทนนิสว่างเปล่า แนวต้นไม้ทอดยาวไม่รู้จบ กล้องทอดสายตาไปในสวนอันค่อยๆมืดมน โถงทางเดินอันยืดยาว


THE CULCUTTA DESERT(1976)





หนังที่เป็นเสมือคู่แฝดของ India Song ในหนังเรื่องนี้ Duras ยกเอาเสียงทั้งหมดของIndia Song มาวางประกบคู่กับภาพที่เป็นเพียงการถ่ายอาคารร้าง อาคารที่อาจจะใช้เป็นอาคารสถานทูตในIndia Song กล้องกวาดจับ พื้น ผนัง เพดาน สวนเศษอิฐปูนกล่นเกลื่อน วัชพืชงอกงามที่นั่นที่นี่ ถึงที่สุด กระทั่งบรรดาตัวละครก็ระเหิดหายไป เหลือเพียงอาคารว่างเปล่าและเสียงของผู้คนที่ล่องลอยราวกับว่าถึงที่สุดพวกเขาก็ได้ตายลง หรือหายตัวไปด้วย พวกเขากลายเป็นเช่นหญิงขอาน และท่านกงสุล กลายเป็เนเพียงเสียงคร่ำครวญของดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนในอาคารเก่าคร่ำคร่า มาถึงจุดนี้ เสียงไม่เพียงแต่สั่งการนักแสดงเท่านั้น หากกำหนดจินตนาการของผู้ชม มันต่างไปจากการเป็นเสียงเล่า เพราะในตัวมันเองมีความย้อนแย้งกันอยู่ มีทั้งอากัปของการสนทนาหรือการเล่าที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่เล่าไปแล้ว ด้วยลักษณาการนี้ Son nom de Venise จึงมีลักษณะของการเป็นการหลงติดในบ้านผีสิงมากกว่าสารคดีนำเที่ยวสถานทูต 


BAXTER VERA BAXTER (1977) 





ที่โรงแรมตีนเขา ผู้ชายที่เคาน์เตอร์กับนักข่าวที่เพิ่งเดินเข้ามาเล่าเรื่องนาง Vera baxter หญิงลึกลับที่มาพักที่ปราสาทหรูหราทุกปี เธอมีสามีรวยๆที่ไม่ได้เอาใจใส่เธอมากนักให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง ผู้หญิงอีกคนโผล่มาแล้วบอกว่ามีคนเช่าบ้านนั้นแล้ว นายหน้าผู้ให้เช่าตามหาหญิงสาวไม่พบ โทรไปก็ไม่มีคนรับ ไม่มีใครติดต่อได้เธออยู่ในบ้านไม่ยอมออกมา ต่อมาหญิงสาวที่มาใหมได้พบกับ Vera Baxter ในบ้านของเธอ ภาพทะเล สวน ต้นไม้ กรอบหน้าต่าง ถูกแทรกเข้ามาในบทสนทนาของผู้หญิงสองคนคนหนึ่งเป็นเมียเอก และอีกคนเป็นเมียเก็บ สามีของเวรามีเมียเก็บมากมาย หญิงสาวเป็นหนึ่งในนั้น เธอสองคนพูดเรื่องของJean สามีร่ำรวยของVera พวกเธอต่างบอกกันว่าต่างโกหกเรื่องต่างๆ ที่แน่ๆ Vera ก็คบชู้กับใครสักคนและพาเขามาที่นี่ด้วย คำลวงของความทรมาน รักของเธอสองคนดำเนินไปเช่นนั้น




หญิงสาวแปลกหน้าจากโรงแรมตีนเขาเดินทางมาหา Veraที่บ้าน เธอเป็นตัวแทนของชายหนุ่มที่บาร์ที่เรารู้แล้วว่าเป็นชู้รัก Veraเล่าเรื่องของชู้รัก เล่าเรื่องของสามีที่เงินมากแต่ไม่ได้ร่ำรวยเลยสักนิด ชายคนที่Veraแต่งงานด้วยเป็นเพียงนายทึ่มมากรักผู้น่าเบื่อหน่าย ชู้รักของเธออาจหล่อเหลาแต่ก็เป็นแค่แมงดาเกาะผู้หญิงกิน พวกเธอผลัดกันเล่าเรื่องเฉพาะของVeraเอง หญิงแปลกหน้าบอกจะพาเธอไปหานายหน้าเรื่องเช่าบ้าน ไปพบชู้รักที่บาร์ แต่ผู้หญิงสองคนก็พูดคุยกันท่ามกลางภาพของทะเล กรอบหน้าต่าง สวน ปราสาทโบราณ ภาพที่ถูกสอดแทรกเข้ามาท่ามแสงซึ่งโพล้เพล้ลงไปเรื่อยๆ


LE CAMION (1977)







หญิงคนหนึ่ง โบกรถบรรทุกคันหนึ่ง รถบรรทุกสีฟ้า แล่นเอื่อยไปตามถนน บนรถมีชายคนขับ คนขับอีกคนนอนหลับที่เบาะหลัง เขาจะนอนหลับไปตลอดเรื่อง หญิงผู้นั้นนั่งรถไปกับชายคนขับ อยู่ในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน จ้องมองภูมิทัศน์เดียวกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากไปกว่านั้น เธอพูด เธอร้องเพลง เธอนิ่งเงียบ เธออาจจะร้องให้ด้วย เขาขับรถ เขาฟัง ถามบ้าง ร้องเพลงบ้าง รถแล่นเอื่อยเฉื่อย ถนนเลียบทะเล สายหมอกเทาเศร้าโอบล้อม เรื่องมันก็เพียงเท่านั้นมีเพียงเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้อะไร ไม่มีความหมาย





ดูราส์ กับเดอปาดิเออนั่งอยู่ในห้อง อยู่สถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน จ้องมองภูมิทัศน์เดียวกัน ภูมิทัศน์บนแผ่นกระดาษ ทั้งคู่กำลังนั่งอ่านบทหนังเรื่องหนึ่ง หนังเล็กๆถ่ายรวบรัด ง่ายดาย ถ่ายอย่างธรรมชาติ อย่างธรรมชาติในความหมายของทุนต่ำๆ ว่าด้วยหญิงคนหนึ่งโบกรถบรรทุกคันหนึ่ง ในวันหนึ่งๆ เวลาหนึ่งๆ

และหนังทั้งรื่องก็เป็นเช่นนั้น ดูราส์กับเดอปาดิเออ อ่านบท สนทนา นิ่งเงียบ ตัดสลับภาพของสองข้างทางท้องถนน จากหน้าต่างรถซึ่งแล่นเอื่อยเฉื่อยในสายหมอก ในยามสนธยากาลสีน้ำเงินเข้ม วันสีเทา ต้นไม้เฉาแห้ง ตึกสูง ที่ไกลๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ภาพนิ่งยาวของคนสนทนาและภาพเคลื่อนไหวจากหน้าต่างรถ ไร้ทิศทาง ไร้ความหมาย ไม่มีเหตุผล เป็นเพียงเรื่องเล่าบางชนิด



LE NAVIRE NIGHT (1979) 






ภาพยนตร์ซึ่งเป็นเพียงเรื่องรักของผู้คนที่ไม่เคยได้พบพานกัน เรื่องราวล่องลอยอยู่ในบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคน ดำเนินไปโดยนักแสดงสามคนที่เราแทบไม่ได้เห็นหน้า และแทบไม่ ‘แสดง’ สิ่งใด หากนี่คือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอกความนุ่มนวลอ่อนหวานเศร้าสร้อยของบางสิ่งเช่น ความปราถนา


AGATHA ET LES LECTURES ILLIMITEES (1981) 





ในหนังเรื่องนี้ภาพนั้นมีเพียง โรงแรมที่เหมือนจะร้าง โถงทางเดิน ห้องล๊อบบี้ ทุกที่ว่างเปล่า นอกบานหน้าต่าง ทุกอย่าดูเหงาเศร้าในวันที่แทบไม่มีแสงแดด ทะเลสงบราบเรียบ ราวกับว่ามันจะเป็นวันที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียจริงด้วย Agatha เดินทางมาที่โรงแรมริมทะเลแห่งนี้เพื่อพบกับคนรักก่าของเธอ กล่าวให้ถูกต้อง ‘พี่ชายของเธอเอง’ ทั้งคู่นัดพบกันอีกครั้งที่นี่ หลบสามีและภรรยาของตัวเองมาพบกัน แต่ที่พวกเขาทำคือการยืนมองเหม่อไปทางทะเล นอนหลับอยู่บนโซฟา เสียงที่เราได้ยินก็คือเสียงของคนทั้งคู่ แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงจากอดีต หรือปัจจุบัน เป็นเสียงของการสนทนา หรือเสียงเล่าจากที่อื่น ไม่ปะติดปะต่อ ไม่ย้อนเล่าความหลัง ทั้งหมดเป็นเพียงความเศร้าสีจาง ของตัวละครภูติผีที่ไม่ปริปากอีกครั้ง เสียงเล่าบอกบางอย่าง และไม่บอกอีกอย่าง 




เอาเข้าจริงเสียงเล่าใน Agatha อาจจะคลุมเครือกว่าเสียงใดๆที่เคยได้ยินมาในหนังของเธอ มันเป็นราวกับการแอบฟังคนที่เราไม่รู้จักคุยกัน พวกเขาสนทนาในเรื่องที่เราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และแน่นอนเขาไม่ปรารถนาให้เรามีส่วนร่วม สรรพสิ่งสลัวในครึ่งแสงของทะเลสงบราบเรียบ ความเศร้าในรักที่เป็นไปไม่ได้ถูกถ่ายทอดถึงความตายของมันอย่างช้าๆในหนังเรื่องนี




Further Reading 

Marguerite Durasเสียงในความทรงจำ http://filmsick.wordpress.com/2013/08/11/marguerite-duras/



NEW NOVEL, NEW WAVE, NEW POLITICS: FICTION AND THE REPRESENTATION OF HISTORY IN POSTWAR FRANCE (1998), written by Lynn A. Higgins แปลโดย จิตร โพธิ์แก้ว https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10201930608810200&set=a.2900190747215.2155569.1333811571&type=1&theater





Le Camion โดย filmsick
http://filmsick.wordpress.com/2013/04/13/lecamiondura/

คนลักหลับ

My photo
Filmvirus เป็นนามปากกาเดิมของสนธยา ทรัพย์เย็น จากคอลัมน์ “นิมิตวิกาล” ที่ใช้ในนิตยสาร Filmview ปี 2537 ต่อมาในปี 2538 สนธยาได้ก่อตั้ง “ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์” หรือ DK.Filmhouse (Filmvirus) จัดฉายหนังด้อยโอกาสให้ผู้สนใจชมฟรี พร้อมจัดพิมพ์หนังสือด้านหนัง และวรรณกรรม ชุด Filmvirus / Bookvirus (ส่วนหนังสือ “คนของหนัง” ปี 2533 นั้นเป็นผลงานก่อนตั้งฟิล์มไวรัส) ส่วนผลงานอื่นๆ ปี 2548 เป็นกรรมการเทศกาลหนัง World Film Festival of Bangkok , ปี 2552 กรรมการ Sydney Underground Film Festival, งาน Thai Short Film and Video Festival ของมูลนิธิหนังไทยครั้งที่ 1 และปี 2548-2549 เป็นเจ้าภาพร่วมจัดเทศกาลประกวดหนังนานาชาติ 15/15 Film Festival, Australia