19.9.13

โปรแกรมภาพยนตร์ Po-co Cine Postcolonial Cinema





ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) ร่วมกับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เชิญชม โปรแกรมภาพยนตร์ Po-Co Cine

ทุกวันอาทิตย์ระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2556 - 20 ตุลาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 12:30 น. เป็นต้นไป

ณ ห้องเรวัต พุทธินันท์ ชั้นใต้ดิน U2 หอสมุด ปรีดี พนมยงค์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โทรศัพท์ 0-2613-3529 หรือ 0-2613-3530

ชมฟรี!!! (โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดว่ามาชมภาพยนตร์ และกรุณาแต่งกายสุภาพ)


Po-co Cine

Postcolonial Cinema 

นำทีมถางพงอดีตแดนอาณานิคม โดย New Programmer รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค (คนละคนกับในรูปข้างล่าง)




ฟรานซ์ ฟานอน (1925 - 1961) นักจิตวิเคราะห์ผิวดำชาวมาร์ตีนิก (มาร์ตีนิกเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียนที่ปัจจุบันมีสถานะเป็น ‘จังหวัดโพ้นทะเลของฝรั่งเศส’) เล่าว่าตอนเขาอยู่ที่บ้านเกิด เขาไปดูหนังฮอลลีวู้ดเรื่องทาร์ซานในโรงหนัง ในหมู่คนดูผิวสีทั้งโรงทุกคนหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นทาร์ซานปราบเหล่าร้ายที่เป็นคนป่าผิวดำได้ ต่อมาเมื่อฟานอนเดินทางไปปารีสเพื่อศึกษาต่อ เขาได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่เขาจะสนุกกับหนังเหมือนเคย เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจ พอคนดูสว่นใหญ่ในโรงเป็นคนขาวพวกเขาก็พากันเอาใจช่วยทาร์ซานพระเอกผิวขาวกำจัดคนป่าผิวดำ ฟานอนในฐานะคนดำไม่กี่คนในโรงจึงรู้สึกอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึก ‘เห็นใจ’ คนผิวสีบนจอภาพยนตร์ เขานึกกลับมาถึงตัวเองว่าทำไมในการดูหนังครั้งแรกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย ทำไมเขาไม่รู้สึกว่าคนดำบนจอเป็นคนร่วมเชื้อชาติสีผิวกับเขา ทำไมเขาสามารถเข้าข้างคนขาวได้ง่ายดาย 

เรายังดูทาร์ซานแบบเดิมอย่างใสซื่อได้อีกไหม เรายังสนุกกับปรากฏการณ์บนจอโดยไม่อินังต่อกระบวนการกดขี่ภายในภาพได้หรือไม่ 




postcolonial studies คือการศึกษาอิทธิพลที่ตกค้างมาจากลัทธิอาณานิคมตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก อาณานิคมได้เปลี่ยนแปลงระบบความสัมพันธ์ สังคม ภาษา ลักษณะประชากรของโลกสมัยใหม่ไปอย่างถอนรากกระชากโคน และแม้เราจะไม่ได้อยู่ในยุคอาณานิคมแล้ว แต่สิ่งที่ตกค้างจากยุคสมัยนั้นยังทิ้งค้างไว้ให้เราได้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ postcolonial cinema ไม่จำกัดแต่หนังที่พูดถึงแต่อาณานิคมโดยตรง (แต่โดยแท้จริงแล้ว postcolonial cinema ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีนิยามแน่ชัดตายตัว) แต่ยังรวมไปถึงหนังที่สำรวจประเด็นอันหลากหลายตั้งแต่ผลกระทบของการอพยพประชากรโลกหนังของคนทำหนังโพ้นทะเล หนังพร็อบพาแกนด้าชาตินิยม หนังตลกภาษาถิ่น ฯลฯ หนังในโปรแกรมนี้เป็นการรวบรวมหนังที่หลากหลายทั้งในแง่เนื้อหาและประเทศที่มา เพื่อลองสำรวจความสลับซับซ้อนในโลกของเราทั้งในด้านวัฒนธรรม สังคม การเมือง ศิลปะ เพศสภาพ อัตลักษณ์ และอื่น ๆ ถ้าทาร์ซานที่ฟานอนได้ดูคือ colonial cinema ที่กดขี่ประชากรส่วนใหญ่ของโลกไว้ในคราบของความป่าเถื่อน postcolonial cinema คือหนังที่ท้วงถามและชี้แย้งกลับไปที่ทาร์ซาน โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว


Week 1
Colonial (Re)Encounter

And Then There Was Light (1989, Otar Iosseliani, Italy, France, West Germany)




ผลงานรางวัลสิงโตเงินเรื่องเยี่ยมของ Otar Iosseliani ผู้กำกับฝีมือเอกอุชาวจอร์เจียที่ปัจจุบันทำหนังอยู่ในฝรั่งเศส ในงานชิ้นนี้เขาได้พาคนดูไปยังสังคมชาวแอฟริกันในป่าที่ความเป็นสมัยใหม่ยังเข้าไม่ถึง หนังถ่ายทอดชีวิตประจำวันของชาวบ้านประดุจสารคดีที่เหนือจริง นั่นคือภาพกิจวัตรของชาวบ้านแม้จะอยู่ในไวยากรณ์แบบสารคดีแต่กิจกรรมของพวกเขาก็ชวนเหวอตกเก้าอี้มาก ๆ เช่นชายหนุ่มจะจีบผู้หญิงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ต้องนั่งจระเข้ข้ามแม่น้ำไปหา หรือคนหัวขาดก็สามารถเอาสมุนไพรมาบดทาที่รอยขาดแล้วติดหัวใหม่ได้ ฯลฯ ลีลาแบบ magical realism ของหนังสร้างรสที่แปร่งปร่าชวนตื่นตาตื่นใจกับความสัมพันธ์ทางสังคมแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

Even the Rain (2010, Icíar Bollaín , Spain, Mexico, France)




Iciar Bollain เป็นผู้กำกับหญิงชาวสเปนที่สร้างชื่อจากหนังน้ำดีหลายเรื่อง ใน Even the Rain เธอร่วมทัพกับ Paul Laverty มือเขียนบทประจำตัวเคน โลช (และจริง ๆ ก็เป็นสามีเธอเอง) รังสรรค์หนังวิพากษ์จักรวรรดิตะวันตกอันแสนคมคายจนได้เป็นตัวแทนสเปนเข้าชิงออสการ์ หนังเรื่องนี้ กาเอล การ์เซีย เบอร์นัลรับบท เซบาสเตียน ผู้กำกับหนังจากเม็กซิโกที่เดินทางกับทีมงานมาโบลิเวียเพื่อทำหนังว่าด้วยการค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส โดยตัวเซบาสเตียนหมายมั่นจะให้หนังเรื่องนี้เป็นบทโจมตีอาณานิคมของสเปนที่เข้ามาปล้นและกดขี่ชาวพื้นเมือง แต่โชคร้ายเสียหน่อยที่ตอนกองถ่ายเข้ามาในโบลิเวียมีการประท้วงเรื่องการขายสิทธิ์การจัดการน้ำในประเทศให้กับบริษัทเอกชนต่างชาติ ทำให้ประชาชนโบลิเวียไม่มีสิทธิ์จะดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำใต้ดิน ลำธาร "หรือแม้แต่น้ำฝน" แล้วเส้นแบ่งระหว่างเหตุการณ์ในหนังที่กำลังสร้างกับเรื่องจริงทางสังคมภายนอกก็ยิ่งพร่าเลือน นักแสดงอินเดียนที่มาแสดงเป็นคนพื้นเมืองในหนังก็ออกไปต่อสู้เพื่อสิทธิในการดื่มน้ำบนถนนจริง ๆ อีกด้วย บทหนังของลาเวอร์ตี้แหลมคมมาก ๆ ในการเชื่อมโยงการปล้นทองจากชนพื้นเมืองจากจักรวรรดิสเปนเข้ากับการปล้นน้ำของบรรษัทนานาชาติ

Week 2
Problem of Identities

Surname Viet Given Name Nam (1989, Trinh T. Minh-ha, Viet Nam-America)




สารคดีทดลองของผู้กำกับ-นักทฤษฎีชาวเวียดนามที่ไปโตในอเมริกา Trinh T. Minh-ha ในงานชิ้นนี้เธอตั้งโจทย์ที่ทั้งซับซ้อนและทะเยอทะยานมาก ๆ เธอพาเราไปรู้จักกับชีวิตผู้หญิงเวียดนามที่ใช้ชีวิตในช่วงสงครามเวียดนามผ่านบทสัมภาษณ์ของแต่ละนาง แม้จะฟังดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วตัวหนังเล่นกับการรับรู้ของคนดูหลายระดับมาก ๆ ตั้งแต่การที่ผู้หญิงกลุ่มนี้พูดอังกฤษได้ไม่ชัดนักทำให้คนดูทั่วไปมีปัญหาในการติดตามเรื่องราวที่พวกเธอเล่า แต่พอหนังผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมงเหมือนหนังจะรู้ตัวก็เลยใส่ซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษข้างใต้ไว้ให้เราอ่านได้ง่าย ๆ แต่จู่ ๆ เสียงของผู้กำกับก็ดังขึ้นมาถามว่า ‘คุณรับรู้บทสัมภาษณ์ของผู้หญิงพวกนี้ผ่านหู (ฟังเสียงของพวกเธอโดยตรง) หรือคุณใช้ตา (ต้องพึ่งพาตัวหนังสือที่หนังเขียนให้)’ ถ้าคุณต้องใช้ตาอ่านซับ ฯ แสดงว่าคุณเชื่อใจซับ ฯ ใช่ไหม แปลว่าคุณไว้ใจความจริงในตัวหนังสือที่คุณคุ้นเคย มากกว่าเสียงที่แปลกแปร่งติดสำเนียงของผู้หญิงประเทศโลกที่สามเหล่านี้ใช่ไหม สารคดีเรื่องนี้เลยเป็นมากกว่าแค่บทบันทึกชีวิตของผู้หญิงเวียดนามแต่เป็นบทบันทึกที่ย้อนถามการบันทึกของตัวมันเองด้วย


Lamerica (1994, Gianni Amelio, Italy, France, Switzerland)




Gianni Amelio เป็นผู้กำกับอิตาลีมือดีที่โด่งดังในยุค 90 Lamerica หนังเจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวนิสได้รับการกล่าวขานจากนักวิจารณ์หลาย ๆ คนว่านี่อาจเป็นงานที่ดีที่สุดของเขา Lamerica ไปสำรวจผลตกค้างของจักรวรรดิตะวันตกที่คนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ นั่นคือจักรวรรดิของอิตาลี อิตาลีเป็นชาติยุโรปที่เริ่มล่าอาณานิคมช้ากว่าชาติอื่น ๆ มาก และอัลบาเนียก็เป็นพื้นที่ไม่กี่ที่ที่เคยตกเป็นของอิตาลี หนังเกิดขึ้นในยุคร่วมสมัย 2 กระทาชายแก๊งค์ต้มตุ๋นชาวอิตาเลี่ยนที่ต้องการจะเข้าไปเปิดบริษัทปลอมในอัลบาเนียเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากรัฐแล้วค่อยเชิดเงินหายไป แต่เงื่อนไขที่เขาจะได้เงินนั้นบริษัทจะต้องมีคนอัลบาเนียมาเป็นเจ้าของด้วย ทั้งสองคนเลยไป ‘แคสต์’ เจ้าของบริษัทจากในคุก จนได้เจอกับ ‘สไปโร’ ตาแก่ชราภาพนายหนึ่งที่สติไม่ค่อยเหลือความจำหลง ๆ ลืม ๆ น่าจะง่ายต่อการใช้เป็นหุ่นเชิดได้ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ความทรงจำของสไปโรค่อยผลุบโผล่เข้ามา อันเป็นความทรงจำในสมัยสงครามโลกและยุคอาณานิคมอิตาลีในอัลบาเนีย ความทรงจำที่ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงตัวตนของนักต้มตุ๋น ทำให้เขาต้องมาถามตัวเองว่าฉันเป็นใคร?

Week 3
Other Aesthetics: Nollywood and Brazilian Garbage

The Figurine - Araromire (2009, Kunle Afolayan, Nigeria)




ปัจจุบันไนจีเรียติด 3 อันดับแรกของประเทศที่มีการผลิตหนังเยอะที่สุดในโลกไปแล้ว (เป็นรองแค่อเมริกาและอินเดีย) วงการหนังวิดีโอหรือที่เรียกกันว่า Nollywood เป็นเหมือนต้นธารใหญ่ของวงการหนังประเทศแอฟริกาที่ใช้ภาษาอังกฤษ (โดยมี Ghallywood จากกาน่ากำลังเข้ามาแชร์พื้นที่) หนัง Nollywood แตกต่างจากหนังประเทศแอฟริกาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสที่เริ่มทำหนังตั้งแต่ยุค 60 ในขณะที่คนทำหนังจากประเทศพูดฝรั่งเศสมักหยิบยกปัญหาสังคม ความยากจน การเหยียดผิว ฯลฯ ที่เกิดขึ้นมาทำเป็นประเด็นหลักด้วยความเชื่อประหนึ่งหนังคือเครื่องมืออาวุธทางวัฒนธรรมและสังคม หนัง Nollywood กลับเพลิดเพลินไปกับชีวิตประจำวันของตัวละครในลากอส มีความเพ้อเจ้อแฟนตาซีไปบ้างตามประสา หนังกลายเป็นมหรสพหรรษาที่ทำให้คนดูหัวเราะ ร้องไห้ ไปพร้อมกัน

The Figurine ได้รับรางวัลจาก African Movie Academy Awards ไป 5 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย เนื้อเรื่องของหนังว่าด้วยเพื่อนซี 2 คนที่เดินทางไปในป่าเจอกับรูปปั้นเทพธิดา Araromire ที่จะมอบ 7 ปีแห่งความสุขโชคลาภให้กับทุกคนที่ได้สัมผัส แต่พอหมด 7 ปีแห่งโชคลาภ คนจับก็ต้องเจอกับ 7 ปีแห่งทุกข์ที่จะพรากความดีทุกอย่างจากชีวิตไป พอเพื่อนทั้ง 2 คนกลับเมืองต่างฝ่ายต่างก็ร่ำรวย มีงานการที่ดี ได้แต่งงาน พอ 7 ปีผ่านไปพวกเขามาเจอกันจู่ ๆ ชีวิตก็เหมือนหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศ ชีวิตเริ่มแย่ขึ้น ๆ นี่มันเพราะคำสาปใช่ไหม หรืออะไร? ก่อนที่หนังจะจบอย่างหักมุมที่สุด!!!!!!!

Bang Bang (1971, Andrea Tonacci, Brazil)




ที่บราซิลสมัยยุค 60 Glauber Rocha ได้เป็นหัวหอกของกลุ่มภาพยนตร์คลื่นลูกใหม่ Cinema Novo ที่ต้องการใช้สื่อภาพยนตรเป็นพื้นที่ในการเรียกร้องความยุติธรรมของสังคม ได้บัญญัติสิ่งที่เรียกว่า ‘สุนทรียะแห่งความหิวโหย’ ด้วยเชื่อว่าหนังที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมต้องไม่เพียงแปลกใหม่ทางเนื้อหาเท่านั้น แต่ต้องค้นหาภาษาไวยากรณ์หนังแบบใหม่ ๆ โดยไม่ต้องไปอินังว่าหนังที่ได้จะมีคุณภาพดีงามได้ตามมาตรฐานหนังทั่วไปไหม (อันหมายถึงหนังฮอลลีวู้ด) แต่พอเวลาผ่านไปถึงยุค 70 Esthetics of Hunger กลายเป็นของล้าสมัยที่เสื่อมความนิยม คนทำหนังบราซิลอีกกลุ่มนำทีมโดยคนทำหนังอย่าง Rogerio Sganzerla และ Julio Bressane ได้เสนอ ‘สนุทรียะแห่งขยะ’ ออกมา หนังในกลุ่มนี้ไม่ได้แคร์ปัญหาสังคมอีกต่อไป แต่เล่นสนุกกับการทดลองความตื่นตาตื่นใจทางภาพยนตร์เพื่อให้คนดู enjoy ก็พอ


Bang, Bang งานสำคัญชิ้นหนึ่งของกลุ่มที่ผู้ชมไม่ต้องแคร์เนื้อเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้ว หนังเด็ดดวงด้วยความแพรวพราวของภาษาหนัง ทั้งลูกเล่นงานถ่ายภาพที่วิจิตรพิศวงพงไพร การตัดต่อที่พิสดารล้านลึก และดนตรีที่สร้างจังหวะชวนขยับหรรษา หนังมีฉากโจร ฉากขับรถไล่ล่าแสนพิสดาร แต่ดูอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องจนตัวละครในหนังเองก็ทนไม่ได้ที่หนังไม่รู้เรื่องถึงกับขอ pause แล้วมานั่งเล่าเรื่องซ้ำใหม่ให้คนดูฟัง แต่ก็ถูกตัวละครอีกตัวขัดจังหวะไม่ให้เล่าด้วยการปาพายใส่หน้า!?

Week 4
My Father and His Fatherland

Congorama (2006, Philippe Falardeau, Canada-Belgium)





แคว้นควิเบกในแคนาดาเป็นแคว้นที่ประชากรใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก แม้ว่าแคนาดาจะมีภาษาราชการ 2 ภาษาทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ชาวควิเบกก็มีความรู้สึกแปลกแยกจากส่วนอื่นของประเทศอยู่ดี Philippe Falardeau ผู้กำกับชาวควิเบกรุ่นใหม่มาแรงนิยมทำหนังที่สำรวจสังคมควิเบกมาอย่างต่อเนื่อง Congorama หนังชนะรางวัล Jutra สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เข้าไปสำรวจความสัมพันธ์อีรุงตุงนังยุ่งขิงของชีวิตตัวละครหลายตัว หลายชาติ ทั้งแคนาดา เบลเยี่ยม และคองโก! 

หนังเปิดเรื่องที่เบลเยี่ยม มิเชล นักประดิษฐ์ชาวเบลเยี่ยมที่ล้มเหลวในการคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เขามีพ่อเป็นนักต่อต้านอาณานิคมคองโกเก่าที่ปัจจุบันเป็นนักเขียนชื่อดังของเบลเยี่ยมในแคว้นเวโลเนีย (แคว้นที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส) ตัวมิเชลเองมีเมียเป็นคนคองโก และทั้งคู่มีลูกชายที่ดูจากกายภาพแล้วดูจะรับมาแต่แม่ เพราะดูไม่มีเชื้อคนขาวเลย วันนึงลูกชายมิเชลถามมิเชลว่า 'พ่อ ผมได้อะไรมาจากพ่อบ้าง' มิเชลก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรเหมือนกับลูกบ้าง เขาก็บอกว่าลูกวาดรูปเก่งเหมือนพ่อ อีกอย่างพ่อกับปู่หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน แต่เราก็เป็นพ่อลูกกันได้ แต่แล้วคืนนั้นพ่อของมิเชลก็เรียกมิเชลไปเซอร์ไพรส์ว่า 'มิเชลเอย ลูกเป็นลูกบุญธรรมนะ พ่อกับแม่แอบรับลูกอย่างผิดกฎหมายมาจากโบสถ์ในควิเบก' มิเชลเลยยิ่งงงไปใหญ่ว่าอ้าว จริง ๆ ฉันเป็นใครมาจากไหน วันนึงเขาต้องไปแคนาดาเพื่อขายงานลูกค้า เขาเลยใช้เวลาที่เหลือตามหาว่ารากเหง้าเขามาจากไหน?

A Borrowed Life (1994, Wu Nien-jen, Taiwan)


หนังเรื่องเยี่ยมในกลุ่มไต้หวันนิวเวฟ Wu Nien-jen ผู้กำกับที่แม้จะทำหนังเองไม่เยอะ แต่เขาเป็นมือเขียนบทที่พิสูจน์ฝีมือไว้ในหนังของโหวเสี่ยวเสี่ยน เอ็ดเวิร์ด หยาง แอนน์ ฮุย A Borrowed Life เป็นงานกำกับเองเรื่องแรกของเขาเป็นเหมือนงานกึ่งอัตชีวประวัติว่าด้วยสัมพันธ์ของเขาและพ่อ ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก ๆ พ่อยังเป็นคนหนุ่ม จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่แต่งงานมีครอบครัวแล้วพ่อของเขาก็ป่วยชรา 

หนังสำรวจความต่างกันของวัย ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กที่เกิดในยุคก๊กมิ๋นตั้งปกครองไต้หวันอยู่ ส่วนพ่อของเขาเป็นคนที่โตมาในรุ่นที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น พ่อและผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในรุ่นเดียวกัน ต่างเป็นคนที่ชื่นชมชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากมาย พวกเขาพูดภาษาญี่ปุ่น ดูหนังญี่ปุ่น นิยมสินค้าญี่ปุ่น แม้พวกเขาจะไม่เคยได้ไปเห็น‘แผ่นดินพ่อ’ เองจริง ๆ เลย และอาการนิยมญี่ปุ่นนี่เองนำมาซึ่งความขัดแย้งกับคนรุ่นลูกที่โตมากับการศึกษาด้วยภาษาจีนกลาง (ที่คนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ) และการเรียนประวัติศาสตร์ว่าญี่ปุ่นเป็นตัวร้าย หนังสำรวจอัตลักษณ์ความเป็นไต้หวันอันเปราะบาง เมื่อพิจารณาว่าไต้หวันเป็นเกาะที่เหมือนถูกเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปตามยุคสมัย (ตั้งแต่สมัยมีชนพื้นเมือง จนคนจีนฮั่นเข้ามาอาศัย ก่อนโดนโปรตุเกส สเปน ดัทช์เข้ามาปกครอง และเปลี่ยนมือไปเป็นราชวงศ์ฉิงในแผ่นดินใหญ่ ก่อนมาเป็นญี่ปุ่น และไปเป็นของก๊กมิ่นตั้ง) แล้วอะไรคือสิ่งที่เหลืออยู่ คนไต้หวันจริง ๆ คือใครกัน

No comments:

คนลักหลับ

My photo
Filmvirus เป็นนามปากกาเดิมของสนธยา ทรัพย์เย็น จากคอลัมน์ “นิมิตวิกาล” ที่ใช้ในนิตยสาร Filmview ปี 2537 ต่อมาในปี 2538 สนธยาได้ก่อตั้ง “ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์” หรือ DK.Filmhouse (Filmvirus) จัดฉายหนังด้อยโอกาสให้ผู้สนใจชมฟรี พร้อมจัดพิมพ์หนังสือด้านหนัง และวรรณกรรม ชุด Filmvirus / Bookvirus (ส่วนหนังสือ “คนของหนัง” ปี 2533 นั้นเป็นผลงานก่อนตั้งฟิล์มไวรัส) ส่วนผลงานอื่นๆ ปี 2548 เป็นกรรมการเทศกาลหนัง World Film Festival of Bangkok , ปี 2552 กรรมการ Sydney Underground Film Festival, งาน Thai Short Film and Video Festival ของมูลนิธิหนังไทยครั้งที่ 1 และปี 2548-2549 เป็นเจ้าภาพร่วมจัดเทศกาลประกวดหนังนานาชาติ 15/15 Film Festival, Australia